เรื่องราวของ Christopher Robin (2018) คริสโตเฟอร์ โรบิน เมื่อ Winnie-the-Pooh เผยแพร่ทีแรกในปี 1926 โลกใบก็หลงรัก Christopher Robin และก็ผองเพื่อนพ้องสัตว์บอกได้ซึ่งนักเขียนอย่าง A.A.Milne ผูกเรื่องราวขึ้นจากลูกชายแล้วก็เหล่าตุ๊กตายัดนุ่นที่เด็กน้อยเล่นด้วยบ่อยๆ
ในตอนนั้น คริสโตเฟอร์ โรบิน ไมลน์ มีอายุเพียง 6 ขวบ เขาอาศัยอยู่กับบิดา แม่ และก็คนดูแลในบ้านข้างหลังใหญ่ขอบป่า Ash Wood แถบ East Sussex อังกฤษ โดยป่าผืนนี้เองที่เป็นต้นแบบของป่าร้อยเอเคอร์ที่ Pooh, Piglet, Eeyore, Owl, Kanga, Roo รวมทั้ง Tigger อาศัยอยู่
เรื่องราวกล่าวถึงมิตรภาพและก็การละเล่นของคริสโตเฟอร์แล้วก็เพื่อนพ้องๆอีกทั้งเบิกบานและก็อบอุ่นใจในครั้งเดียวกัน กระทั่งผู้อ่านอย่างพวกเราๆเห็นภาพเด็กหนุ่มผมบลอนด์ยิ้มร่าในตอนที่วิ่งเล่นรอบๆชายเขาในวันที่อากาศผ่องใส
แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความเป็นจริงที่หมองมืดกว่านั้น
แรกเริ่มบิดาของคริสโตเฟอร์ โรบิน เอ.เอ.ไมลน์ เป็นผู้เขียนอยู่แล้ว แม้กระนั้นจำเป็นต้องร่วมรบกับกองทัพอังกฤษเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น เขารับใช้ชาติอยู่ราว 4-5 ปีกลายถูกปลดทำงาน ซึ่งในรูปภาพยนตร์ Goodbye Christopher Robin (2017) ที่เพิ่งจะเข้าโรงในสหราชอาณาจักรไม่นานมานี้ เล่าว่าเพราะเหตุว่าวันเวลาเลวทรามในการรบ ไมลน์ก็เลยจำเป็นต้องพบเจอกับ Post Traumatic Stress Disorder (ความผิดแปลกอันเกิดขึ้นจากความตึงเครียดข้างหลังเรื่องเสียใจ) จนถึงส่งผลให้เขาเลือกสันโดษตนเองจากเมียและก็ลูกน้อย
แต่ว่าในอัตประวัติที่คริสโตเฟอร์ โรบินเขียนเมื่ออยู่ในกลางคนแล้ว บิดาในความจำของเขาเพียงแค่เกลียดเด็กเพียงเท่านั้น “บางบุคคลกับเด็กก้าวหน้า บางบุคคลกับเด็กมิได้เลย มันเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง ขึ้นกับว่าคุณมีหรือเปล่ามี บิดาของผมไม่มี” ถึงแม้ทั้งสองจะใช้เวลาด้วยกันเพื่อเล่นครอสเวิร์ดบ้างก็ตาม
แม่ของคริสโตเฟอร์ โรบิน Dorothy “Daphne” de Sélincourt เป็นสาวสังคมชั้นสูงที่ไม่ค่อยข้องแวะกับลูกเท่าไรนัก คุณว่าจ้างคนดูแลมาทำทุกๆอย่างแทนคุณ เว้นเพียงแค่การแต่งตัวของเด็กผู้ชาย ซึ่งจะกล่าวว่าอย่างต่ำๆคุณก็ดีแล้วที่ตั้งใจลูกสักเรื่องหนึ่งก็กล่าวได้ไม่เต็มปาก เพราะเหตุว่าดาฟเน่อยากได้บุตรสาวอย่างยิ่ง คุณก็เลยแต่งตัวให้คริสโตเฟอร์ โรบินในเสื้อผ้าสุดหวานแหววเหมือนเป็นเพศหญิง กระทั่งสร้างความแปลกแยกให้เด็กผู้ชายผู้ไม่ทราบอิโหน่อิเหน่
เมื่อบิดาแล้วก็แม่ไม่ค่อยพึงพอใจ เด็กตัวน้อยก็เลยมีเพียงแค่คนดูแลและก็ตุ๊กตาเป็นเพื่อน เขาจินตนาการว่าพวกมันมีชีวิต ขยับเขยื้อนตัวได้ กล่าวได้ รวมทั้งทุกคนก็เล่นร่วมกันในป่า Ash Wood
เอ.เอ.ไมลน์มองเห็นเรื่องราวในจินตนาการของลูก แล้วกล่าวถึงมาเขียนเป็นหนังสือซึ่งมีชื่อเสียงเป็นดอกไม้ไฟแตก นับจากนั้นความโด่งดังและก็ความพอใจของมวลชนก็ตามติดคริสโตเฟอร์ โรบินอย่างกับเงา บ่อยครั้งเขาแสดงตัวในสื่อร่วมกับบิดาของเขา (บางคราวผู้เดียวด้วยไป หลายๆคนมั่นใจว่าเด็กผู้ชายดังกว่าเอ.เอ.ไมลน์เสียอีก) เขียนจดหมายตอบแฟนคลับนับร้อย รวมทั้งออกงานอีเวนต์ต่างๆที่เกี่ยวกับ Winnie-the-Pooh ตั้งแต่การโชว์ตัวเฉยๆไปจนกระทั่งการขึ้นไปอ่านนิดหน่อยของหนังสือให้ผู้ชมเยอะแยะฟัง แล้วก็การเดินนำในขบวนพาเหรดธีม Winnie-the-Pooh
ไมลน์รวมทั้งเมียมิได้ปกป้องรักษาลูกชายจากแสงสว่างสปอตไลต์เท่าไรนัก รวมทั้งเอาเข้าจริงคริสโตเฟอร์ โรบินในวัยเด็กก็ค่อนข้างจะติดอกติดใจที่ได้รับความพอใจแล้วก็เสียงสรรเสริญจากคนพรั่งพร้อม แต่ว่าเส้นเรื่องมากลับในขณะที่เด็กผู้ชายเข้าโรงเรียนกินนอน แล้วถูกเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันทำร้ายรวมทั้งล้อเลียนอย่างมาก เขาก็เลยเริ่มรู้สึกรังเกียจเรื่องราวใน Winnie-the-Pooh แล้วก็กล่าวร้ายผู้เป็นบิดาที่เขียนประเด็นนี้ขึ้นมา
ฟาสต์ฟอเวิดไปภายหลังที่คริสโตเฟอร์ โรบินร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขากลับมาศึกษาต่อจนกระทั่งจบชั้นปริญญาตรี แล้วเริ่มหางานทำ หนุ่มวัยยี่สิบกว่าพบว่าเกียรติศักดิ์ในวัยเด็กรั้งตัวเองไว้ด้านหลัง ไม่ค่อยมีไหนรับเขาทำงาน ถ้าเกิดรับเขาก็ปฏิบัติงานได้ไม่นาน เนื่องจากรู้สึกคับแค้นใจ ดุจว่าไม่ใช่พื้นที่ของตนเอง ไม่ใช่ที่ๆสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข
คริสโตเฟอร์เคยเขียนไว้ว่า “ในนาฬิกายามที่ทรามที่สุด ขณะที่ผมเดินย่ำไปทั่วลอนดอนเพื่อหาผู้ว่าจ้างที่อยากได้ความรู้ความเข้าใจของผม ผมแจ่มชัดแก่ดวงใจว่าบิดาขึ้นมายืนบนจุดนี้ได้ด้วยการเหยียบไหล่อันทารกของผม บิดาลักขโมยชื่อของผมไป แล้วไม่เหลืออะไรให้ผมเลยเว้นเสียแต่ความโด่งดังไร้ประโยชน์ที่ได้มาเพียงแต่เพราะว่าผมเป็นลูกของบิดา”
เอ.เอ.ไมลน์เองก็รับทราบความรังเกียจแล้วก็ขึ้งโกรธของลูกชาย แต่ว่ามันก็สายเกินแก้เสียแล้ว ความจริงในปี 1929 อันเป็นตอนที่หนังสือชุด Winnie-the-Pooh รวมถึงสองบิดาลูกมีชื่อเสียงถึงจุดสูงสุด ไมลน์ตกลงใจเลิกเขียนวรรณกรรมเยาวชนอย่างสิ้นเชิง เหตุผลหนึ่งก็เนื่องจากว่าเขาเองก็เบื่อกับมันเต็มแก่แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเขารู้สึกตลึงแล้วก็เกลียดชังเกียรติศักดิ์ของลูก
ไมลน์บันทึกความนึกคิดตอนนั้นเอาไว้ “ผมรู้สึกว่าคริสโตเฟอร์ โรบินจำเป็นต้องอยู่กับเกียรติศักดิ์มานานเกินพอแล้ว ผมไม่อยากที่จะให้ C.R. Milne จะต้องภาวนาให้ตนเองเกิดขึ้นมาชื่อ Charles Robert”
ในตอนนั้น คริสโตเฟอร์ โรบิน ไมลน์ มีอายุเพียง 6 ขวบ เขาอาศัยอยู่กับบิดา แม่ และก็คนดูแลในบ้านข้างหลังใหญ่ขอบป่า Ash Wood แถบ East Sussex อังกฤษ โดยป่าผืนนี้เองที่เป็นต้นแบบของป่าร้อยเอเคอร์ที่ Pooh, Piglet, Eeyore, Owl, Kanga, Roo รวมทั้ง Tigger อาศัยอยู่
เรื่องราวกล่าวถึงมิตรภาพและก็การละเล่นของคริสโตเฟอร์แล้วก็เพื่อนพ้องๆอีกทั้งเบิกบานและก็อบอุ่นใจในครั้งเดียวกัน กระทั่งผู้อ่านอย่างพวกเราๆเห็นภาพเด็กหนุ่มผมบลอนด์ยิ้มร่าในตอนที่วิ่งเล่นรอบๆชายเขาในวันที่อากาศผ่องใส
แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความเป็นจริงที่หมองมืดกว่านั้น
แรกเริ่มบิดาของคริสโตเฟอร์ โรบิน เอ.เอ.ไมลน์ เป็นผู้เขียนอยู่แล้ว แม้กระนั้นจำเป็นต้องร่วมรบกับกองทัพอังกฤษเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น เขารับใช้ชาติอยู่ราว 4-5 ปีกลายถูกปลดทำงาน ซึ่งในรูปภาพยนตร์ Goodbye Christopher Robin (2017) ที่เพิ่งจะเข้าโรงในสหราชอาณาจักรไม่นานมานี้ เล่าว่าเพราะเหตุว่าวันเวลาเลวทรามในการรบ ไมลน์ก็เลยจำเป็นต้องพบเจอกับ Post Traumatic Stress Disorder (ความผิดแปลกอันเกิดขึ้นจากความตึงเครียดข้างหลังเรื่องเสียใจ) จนถึงส่งผลให้เขาเลือกสันโดษตนเองจากเมียและก็ลูกน้อย
แต่ว่าในอัตประวัติที่คริสโตเฟอร์ โรบินเขียนเมื่ออยู่ในกลางคนแล้ว บิดาในความจำของเขาเพียงแค่เกลียดเด็กเพียงเท่านั้น “บางบุคคลกับเด็กก้าวหน้า บางบุคคลกับเด็กมิได้เลย มันเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง ขึ้นกับว่าคุณมีหรือเปล่ามี บิดาของผมไม่มี” ถึงแม้ทั้งสองจะใช้เวลาด้วยกันเพื่อเล่นครอสเวิร์ดบ้างก็ตาม
แม่ของคริสโตเฟอร์ โรบิน Dorothy “Daphne” de Sélincourt เป็นสาวสังคมชั้นสูงที่ไม่ค่อยข้องแวะกับลูกเท่าไรนัก คุณว่าจ้างคนดูแลมาทำทุกๆอย่างแทนคุณ เว้นเพียงแค่การแต่งตัวของเด็กผู้ชาย ซึ่งจะกล่าวว่าอย่างต่ำๆคุณก็ดีแล้วที่ตั้งใจลูกสักเรื่องหนึ่งก็กล่าวได้ไม่เต็มปาก เพราะเหตุว่าดาฟเน่อยากได้บุตรสาวอย่างยิ่ง คุณก็เลยแต่งตัวให้คริสโตเฟอร์ โรบินในเสื้อผ้าสุดหวานแหววเหมือนเป็นเพศหญิง กระทั่งสร้างความแปลกแยกให้เด็กผู้ชายผู้ไม่ทราบอิโหน่อิเหน่
เมื่อบิดาแล้วก็แม่ไม่ค่อยพึงพอใจ เด็กตัวน้อยก็เลยมีเพียงแค่คนดูแลและก็ตุ๊กตาเป็นเพื่อน เขาจินตนาการว่าพวกมันมีชีวิต ขยับเขยื้อนตัวได้ กล่าวได้ รวมทั้งทุกคนก็เล่นร่วมกันในป่า Ash Wood
เอ.เอ.ไมลน์มองเห็นเรื่องราวในจินตนาการของลูก แล้วกล่าวถึงมาเขียนเป็นหนังสือซึ่งมีชื่อเสียงเป็นดอกไม้ไฟแตก นับจากนั้นความโด่งดังและก็ความพอใจของมวลชนก็ตามติดคริสโตเฟอร์ โรบินอย่างกับเงา บ่อยครั้งเขาแสดงตัวในสื่อร่วมกับบิดาของเขา (บางคราวผู้เดียวด้วยไป หลายๆคนมั่นใจว่าเด็กผู้ชายดังกว่าเอ.เอ.ไมลน์เสียอีก) เขียนจดหมายตอบแฟนคลับนับร้อย รวมทั้งออกงานอีเวนต์ต่างๆที่เกี่ยวกับ Winnie-the-Pooh ตั้งแต่การโชว์ตัวเฉยๆไปจนกระทั่งการขึ้นไปอ่านนิดหน่อยของหนังสือให้ผู้ชมเยอะแยะฟัง แล้วก็การเดินนำในขบวนพาเหรดธีม Winnie-the-Pooh
ไมลน์รวมทั้งเมียมิได้ปกป้องรักษาลูกชายจากแสงสว่างสปอตไลต์เท่าไรนัก รวมทั้งเอาเข้าจริงคริสโตเฟอร์ โรบินในวัยเด็กก็ค่อนข้างจะติดอกติดใจที่ได้รับความพอใจแล้วก็เสียงสรรเสริญจากคนพรั่งพร้อม แต่ว่าเส้นเรื่องมากลับในขณะที่เด็กผู้ชายเข้าโรงเรียนกินนอน แล้วถูกเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันทำร้ายรวมทั้งล้อเลียนอย่างมาก เขาก็เลยเริ่มรู้สึกรังเกียจเรื่องราวใน Winnie-the-Pooh แล้วก็กล่าวร้ายผู้เป็นบิดาที่เขียนประเด็นนี้ขึ้นมา
ฟาสต์ฟอเวิดไปภายหลังที่คริสโตเฟอร์ โรบินร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขากลับมาศึกษาต่อจนกระทั่งจบชั้นปริญญาตรี แล้วเริ่มหางานทำ หนุ่มวัยยี่สิบกว่าพบว่าเกียรติศักดิ์ในวัยเด็กรั้งตัวเองไว้ด้านหลัง ไม่ค่อยมีไหนรับเขาทำงาน ถ้าเกิดรับเขาก็ปฏิบัติงานได้ไม่นาน เนื่องจากรู้สึกคับแค้นใจ ดุจว่าไม่ใช่พื้นที่ของตนเอง ไม่ใช่ที่ๆสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข
คริสโตเฟอร์เคยเขียนไว้ว่า “ในนาฬิกายามที่ทรามที่สุด ขณะที่ผมเดินย่ำไปทั่วลอนดอนเพื่อหาผู้ว่าจ้างที่อยากได้ความรู้ความเข้าใจของผม ผมแจ่มชัดแก่ดวงใจว่าบิดาขึ้นมายืนบนจุดนี้ได้ด้วยการเหยียบไหล่อันทารกของผม บิดาลักขโมยชื่อของผมไป แล้วไม่เหลืออะไรให้ผมเลยเว้นเสียแต่ความโด่งดังไร้ประโยชน์ที่ได้มาเพียงแต่เพราะว่าผมเป็นลูกของบิดา”
เอ.เอ.ไมลน์เองก็รับทราบความรังเกียจแล้วก็ขึ้งโกรธของลูกชาย แต่ว่ามันก็สายเกินแก้เสียแล้ว ความจริงในปี 1929 อันเป็นตอนที่หนังสือชุด Winnie-the-Pooh รวมถึงสองบิดาลูกมีชื่อเสียงถึงจุดสูงสุด ไมลน์ตกลงใจเลิกเขียนวรรณกรรมเยาวชนอย่างสิ้นเชิง เหตุผลหนึ่งก็เนื่องจากว่าเขาเองก็เบื่อกับมันเต็มแก่แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเขารู้สึกตลึงแล้วก็เกลียดชังเกียรติศักดิ์ของลูก
ไมลน์บันทึกความนึกคิดตอนนั้นเอาไว้ “ผมรู้สึกว่าคริสโตเฟอร์ โรบินจำเป็นต้องอยู่กับเกียรติศักดิ์มานานเกินพอแล้ว ผมไม่อยากที่จะให้ C.R. Milne จะต้องภาวนาให้ตนเองเกิดขึ้นมาชื่อ Charles Robert”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น